วิศวกรความปลอดภัย ปลดล็อกภาวะผู้นำ สร้างผลลัพธ์ที่เหนือคาด

webmaster

A visionary female construction safety leader, confidently interacting with a diverse team of workers on a bustling, modern construction site. She is wearing a hard hat and safety vest, her posture conveying leadership, empathy, and open communication. The scene should emphasize a collaborative atmosphere, with workers looking engaged and a sense of shared purpose towards creating a proactive safety culture. Bright, professional lighting highlights the human connection and the leader's clear vision for a safe future.

การได้รับใบอนุญาตวิศวกรความปลอดภัยด้านการก่อสร้างนั้นคือความภาคภูมิใจที่เราทุกคนสัมผัสได้จริง ๆ ค่ะ เหมือนกับเพิ่งไต่ขึ้นยอดเขาที่สูงชันมาหมาด ๆ เลยทีเดียว แต่หลังจากได้เป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ แล้ว จุดหมายต่อไปของเราคืออะไรล่ะคะ?

แค่ความรู้ทางเทคนิคอย่างเดียวคงไม่พอแล้วในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมก่อสร้างไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการนำ BIM หรือ IoT มาใช้ในการเฝ้าระวังความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ ซึ่งทำให้บทบาทของเราในฐานะผู้นำยิ่งทวีความสำคัญขึ้นไปอีก เพราะเราต้องไม่เพียงแค่เฝ้าระวัง แต่ต้อง ‘นำ’ การเปลี่ยนแปลงและสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในองค์กรให้ได้จริง ๆ ค่ะฉันเองก็เคยรู้สึกแบบนั้นค่ะ หลังได้ใบมาใหม่ๆ ไฟแรงเต็มที่ คิดว่าความรู้แน่นปึ้กก็พอแล้ว แต่พอลงมือทำงานจริง ๆ ในไซต์ก่อสร้าง คุณจะเจอเรื่องราวที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎีในตำราเลยค่ะ ทั้งเรื่องการบริหารจัดการคนที่มีความหลากหลาย การรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือแม้แต่การโน้มน้าวให้ทุกคนเห็นความสำคัญของความปลอดภัยที่บางครั้งก็ถูกมองข้ามไปเพราะความรีบเร่งในโปรเจกต์ใหญ่ ๆ ยิ่งในปัจจุบันที่เทรนด์อย่างการใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง หรือโดรนเพื่อตรวจสอบพื้นที่สูงเริ่มเข้ามามีบทบาท ผู้นำอย่างเราต้องไม่หยุดนิ่งค่ะ ต้องเรียนรู้ ปรับตัว และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล คอยนำพาทีมให้ก้าวทันโลก และสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง นี่แหละค่ะคือหัวใจของการเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่าแค่ใบอนุญาต และในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้กันให้ชัดเจนไปเลยดีกว่าค่ะ

การได้รับใบอนุญาตวิศวกรความปลอดภัยด้านการก่อสร้างนั้นคือความภาคภูมิใจที่เราทุกคนสัมผัสได้จริง ๆ ค่ะ เหมือนกับเพิ่งไต่ขึ้นยอดเขาที่สูงชันมาหมาด ๆ เลยทีเดียว แต่หลังจากได้เป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ แล้ว จุดหมายต่อไปของเราคืออะไรล่ะคะ? แค่ความรู้ทางเทคนิคอย่างเดียวคงไม่พอแล้วในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมก่อสร้างไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการนำ BIM หรือ IoT มาใช้ในการเฝ้าระวังความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ ซึ่งทำให้บทบาทของเราในฐานะผู้นำยิ่งทวีความสำคัญขึ้นไปอีก เพราะเราต้องไม่เพียงแค่เฝ้าระวัง แต่ต้อง ‘นำ’ การเปลี่ยนแปลงและสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในองค์กรให้ได้จริง ๆ ค่ะ

ฉันเองก็เคยรู้สึกแบบนั้นค่ะ หลังได้ใบมาใหม่ๆ ไฟแรงเต็มที่ คิดว่าความรู้แน่นปึ้กก็พอแล้ว แต่พอลงมือทำงานจริง ๆ ในไซต์ก่อสร้าง คุณจะเจอเรื่องราวที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎีในตำราเลยค่ะ ทั้งเรื่องการบริหารจัดการคนที่มีความหลากหลาย การรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือแม้แต่การโน้มน้าวให้ทุกคนเห็นความสำคัญของความปลอดภัยที่บางครั้งก็ถูกมองข้ามไปเพราะความรีบเร่งในโปรเจกต์ใหญ่ ๆ ยิ่งในปัจจุบันที่เทรนด์อย่างการใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง หรือโดรนเพื่อตรวจสอบพื้นที่สูงเริ่มเข้ามามีบทบาท ผู้นำอย่างเราต้องไม่หยุดนิ่งค่ะ ต้องเรียนรู้ ปรับตัว และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล คอยนำพาทีมให้ก้าวทันโลก และสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง นี่แหละค่ะคือหัวใจของการเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่าแค่ใบอนุญาต และในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้กันให้ชัดเจนไปเลยดีกว่าค่ะ

สร้างวิสัยทัศน์ความปลอดภัยที่กว้างไกลและน่าเชื่อถือ

ศวกรความปลอดภ - 이미지 1

ในฐานะผู้นำด้านความปลอดภัย คุณไม่ได้เป็นแค่คนคอยตรวจสอบหรือทำตามกฎระเบียบเท่านั้นค่ะ แต่คุณคือผู้สร้างวิสัยทัศน์ ผู้ที่สามารถมองเห็นอนาคตของไซต์งานที่ปลอดภัยได้อย่างเป็นรูปธรรม และถ่ายทอดวิสัยทัศน์นั้นให้ทุกคนในทีมเข้าใจและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณสามารถกำหนดทิศทางในการป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ใช่แค่การบอกว่า “เราต้องไม่มีอุบัติเหตุ” แต่เป็นการบอกว่า “เราจะสร้างวัฒนธรรมที่ทุกคนกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยในทุกๆ วันได้อย่างไร” วิสัยทัศน์ที่มาจากประสบการณ์ตรงของคุณจะช่วยให้ลูกน้องและเพื่อนร่วมงานเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และความน่าเชื่อถือนี้เองคือจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้นำที่แท้จริง

1. กำหนดเป้าหมายความปลอดภัยที่เหนือกว่าแค่ตัวเลข

เราทุกคนถูกสอนให้ตั้งเป้าหมายลดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป้าหมายที่แท้จริงควรจะลึกซึ้งกว่านั้นค่ะ จากประสบการณ์ของฉัน การตั้งเป้าหมายที่เชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน เช่น “ทุกคนในไซต์งานต้องรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในทุกขั้นตอนการทำงาน” หรือ “เราจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้ทุกคนกล้าที่จะรายงานความเสี่ยงโดยไม่ต้องกังวล” จะสร้างแรงจูงใจได้มากกว่า และทำให้ความปลอดภัยไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่เป็นค่านิยมที่ทุกคนยึดถือ

2. สื่อสารวิสัยทัศน์ด้วยความมุ่งมั่นและสม่ำเสมอ

วิสัยทัศน์จะไม่มีความหมายหากไม่ได้ถูกสื่อสารออกไปอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ฉันเคยเห็นผู้นำหลายคนที่มีวิสัยทัศน์ที่ดีเยี่ยม แต่การสื่อสารกลับไม่ถึงผู้ปฏิบัติงานจริง ๆ คุณต้องใช้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการประชุมเช้า การเดินตรวจไซต์งาน การพูดคุยแบบเป็นกันเอง หรือแม้แต่การใช้สื่อภายในองค์กร เพื่อย้ำเตือนและปลูกฝังให้ทุกคนซึมซับวิสัยทัศน์นั้นเข้าไปในทุกการกระทำ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าคุณใส่ใจในความปลอดภัยของพวกเขามากแค่ไหน นี่คือสิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดและใช้ได้ผลเสมอ

พัฒนาทักษะการสื่อสารเพื่อความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ

การเป็นวิศวกรความปลอดภัย ไม่ได้หมายถึงแค่การอ่านคู่มือหรือเขียนรายงานเท่านั้นค่ะ แต่เป็นเรื่องของการสื่อสารอย่างแท้จริง คุณต้องสามารถสื่อสารเรื่องที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย โน้มน้าวใจผู้ที่ไม่เห็นด้วย และสร้างความเข้าใจร่วมกันในทีมงานที่มีความหลากหลาย ฉันจำได้ว่าช่วงแรกๆ ที่ทำงาน ฉันมักจะพูดแต่เรื่องเทคนิคจ๋าๆ ทำให้บางครั้งคนงานก็จับใจความไม่ได้ จนฉันได้เรียนรู้ว่าการปรับภาษาให้เข้ากับผู้ฟัง การใช้ภาพประกอบ หรือแม้แต่การเล่าเรื่องจากเหตุการณ์จริง จะช่วยให้สารที่เราต้องการส่งไปถึงใจและสมองของทุกคนได้ดีขึ้นหลายเท่าตัว

1. ศิลปะการโน้มน้าวใจและความเห็นอกเห็นใจ

บ่อยครั้งที่คุณจะต้องเผชิญหน้ากับความไม่เต็มใจในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ซึ่งอาจเกิดจากความไม่เข้าใจ ความเร่งรีบ หรือแม้แต่ความเคยชิน การใช้อำนาจเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้ผลในระยะยาว แต่การใช้ความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจถึงความท้าทายที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ และนำเสนอทางออกที่ปลอดภัยและเป็นไปได้จริง จะสร้างความร่วมมือได้มากกว่า ฉันมักจะเริ่มต้นด้วยคำถามที่แสดงถึงความห่วงใย เช่น “พี่ครับ ผมเข้าใจว่างานนี้ต้องรีบส่ง แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา พวกเราจะเสียหายมากกว่านะครับ มีอะไรที่ผมพอจะช่วยให้พี่ทำงานได้อย่างปลอดภัยและเร็วขึ้นไหมครับ?” คำถามเหล่านี้มักจะเปิดประตูสู่การสนทนาที่ดีเสมอ

2. การฟังอย่างตั้งใจและการให้ข้อมูลย้อนกลับเชิงสร้างสรรค์

ผู้นำที่ดีคือผู้ฟังที่ดีค่ะ คุณต้องเปิดใจรับฟังความคิดเห็น ความกังวล หรือแม้แต่ข้อเสนอแนะจากทุกคนในทีม เพราะบางครั้งข้อมูลที่มีค่าที่สุดมาจากผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่หน้างานจริง ๆ และเมื่อคุณให้ข้อมูลย้อนกลับ ก็ควรจะเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ทำได้ดี และแนะนำแนวทางแก้ไขที่ไม่ใช่แค่การตำหนิ แต่เป็นการชี้ชวนให้เห็นถึงโอกาสในการพัฒนา นี่คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้คนกล้าที่จะเข้ามาปรึกษาคุณเมื่อมีปัญหาด้านความปลอดภัย

นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มายกระดับความปลอดภัยในไซต์งาน

โลกของเราหมุนเร็วมากค่ะ เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมก่อสร้างก็เช่นกัน ฉันจำได้ว่าสมัยก่อนการตรวจความปลอดภัยต้องใช้คนเดินตรวจทีละจุด บางทีก็ตกหล่นไปบ้าง แต่เดี๋ยวนี้เรามีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยให้งานของเราง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเป็นผู้นำในยุคนี้คือการรู้จักนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการใช้โดรนบินสำรวจพื้นที่สูง การใช้เซ็นเซอร์ IoT เพื่อตรวจจับความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ หรือแม้แต่การใช้ซอฟต์แวร์ BIM เพื่อจำลองสถานการณ์ความเสี่ยงก่อนที่งานจะเริ่มจริง

1. ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเฝ้าระวังและวิเคราะห์ความเสี่ยง

การใช้โดรนติดกล้องความร้อนเพื่อตรวจสอบจุดอับสายตา หรือการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวในพื้นที่อันตราย สามารถช่วยให้คุณมองเห็นความเสี่ยงที่สายตาคนอาจมองไม่เห็นได้แบบเรียลไทม์ค่ะ ฉันเองเคยใช้โดรนสำรวจหลังคาที่สูงมาก ช่วยลดความเสี่ยงที่พนักงานจะต้องขึ้นไปสำรวจเองได้อย่างมหาศาล และเมื่อเรามีข้อมูลที่แม่นยำจากการวิเคราะห์ของ AI เราก็จะสามารถคาดการณ์และป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ซึ่งนี่คือการเปลี่ยนเกมในการบริหารจัดการความปลอดภัยเลยทีเดียว

2. สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และการปรับตัวด้านเทคโนโลยี

การนำเทคโนโลยีมาใช้ไม่ได้หมายถึงแค่การซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆ เข้ามานะคะ แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมที่ทีมงานทุกคนพร้อมที่จะเรียนรู้และปรับตัวไปพร้อมกัน ฉันมักจะจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเล็กๆ ให้พนักงานได้ลองใช้เครื่องมือใหม่ๆ หรือชวนผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาให้ความรู้ เพื่อให้ทุกคนรู้สึกคุ้นเคยและเห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีเหล่านี้ การเปิดใจและเป็นผู้นำในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะทำให้ทีมของคุณก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

มิติความเป็นผู้นำ ผู้นำแบบเดิม ผู้นำด้านความปลอดภัยแห่งอนาคต
เป้าหมาย เน้นการลดตัวเลขสถิติอุบัติเหตุ สร้างวัฒนธรรมที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยและมีส่วนร่วม
บทบาทหลัก ผู้ตรวจสอบ, ผู้บังคับใช้กฎ ผู้สร้างวิสัยทัศน์, ผู้สื่อสาร, ผู้นำการเปลี่ยนแปลง
การใช้เทคโนโลยี พึ่งพาการตรวจสอบด้วยตนเอง, เอกสาร ประยุกต์ใช้ AI, IoT, โดรน เพื่อการเฝ้าระวังและวิเคราะห์
การสื่อสาร เน้นการออกคำสั่ง, รายงานเชิงเทคนิค โน้มน้าวใจ, รับฟัง, ให้ข้อมูลย้อนกลับเชิงสร้างสรรค์
การพัฒนาทีม เน้นการอบรมกฎระเบียบ ส่งเสริมการเรียนรู้, พัฒนาทักษะใหม่ๆ, สร้างความผูกพัน

ส่งเสริมการพัฒนาทีมงานให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมความปลอดภัย

จำไว้เสมอค่ะว่า คุณไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว ความสำเร็จที่ยั่งยืนมาจากการทำงานเป็นทีม ผู้นำที่ดีไม่ได้ทำหน้าที่แค่สั่งการ แต่ยังต้องเป็นโค้ช เป็นพี่เลี้ยง และเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของในเรื่องความปลอดภัย จากประสบการณ์ตรงของฉัน การที่คนงานรู้สึกว่าเสียงของพวกเขามีค่า และพวกเขามีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องความปลอดภัย ทำให้ความรับผิดชอบในเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งองค์กร และเมื่อทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง การเฝ้าระวังความปลอดภัยก็จะกลายเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แค่การทำตามกฎที่ถูกบังคับ

1. สร้างโอกาสในการมีส่วนร่วมและการเป็นเจ้าของ

ฉันเชื่อว่าคนงานที่อยู่หน้างานจริง ๆ คือผู้เชี่ยวชาญในงานของพวกเขา คุณควรเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความคิดเห็น เสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงความปลอดภัยในพื้นที่ของพวกเขาเอง อาจจะจัดเวทีระดมสมอง หรือกล่องรับฟังความคิดเห็น การที่พวกเขารู้สึกว่าความคิดของพวกเขามีคุณค่า จะช่วยเพิ่มความภาคภูมิใจและกระตุ้นให้พวกเขารับผิดชอบต่อความปลอดภัยของตัวเองและเพื่อนร่วมงานมากขึ้น ความรู้สึกนี้แหละที่สร้างผลลัพธ์ที่แตกต่าง

2. พัฒนาศักยภาพและทักษะด้านความปลอดภัยของทีมงานอย่างต่อเนื่อง

การฝึกอบรมไม่ใช่แค่การทำตามข้อกำหนด แต่เป็นการลงทุนในตัวบุคคล คุณควรจัดโปรแกรมการฝึกอบรมที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่การบรรยาย แต่เป็นการฝึกปฏิบัติจริง การจำลองสถานการณ์ หรือการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาแบ่งปันประสบการณ์ การลงทุนในการพัฒนาทักษะความปลอดภัยของทีมงานจะช่วยให้พวกเขามีความมั่นใจและมีความรู้เพียงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือต้องมีการติดตามผลและให้กำลังใจกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองกำลังเติบโตไปพร้อมกับองค์กร

บริหารจัดการความเสี่ยงด้วยมุมมองเชิงรุกและบูรณาการ

การเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยในยุคปัจจุบันไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุแล้วเท่านั้นค่ะ แต่ต้องเป็นการมองเห็นความเสี่ยงล่วงหน้าและวางแผนป้องกันอย่างเป็นระบบ ฉันเองก็เคยพลาดที่มัวแต่วิ่งตามแก้ปัญหาหน้างาน จนลืมมองภาพใหญ่ การบริหารความเสี่ยงแบบเชิงรุกหมายถึงการที่เราสามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ และเตรียมพร้อมรับมือกับมันอย่างมีประสิทธิภาพ การมีระบบการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่ครอบคลุม การประเมินผลกระทบ และการวางแผนรับมือฉุกเฉินอย่างรอบคอบ คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรของคุณก้าวข้ามความท้าทายไปได้ และสิ่งนี้เองที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน คู่ค้า หรือแม้แต่ผู้บริหารระดับสูง

1. การประเมินและวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ

คุณต้องมีกระบวนการที่ชัดเจนในการระบุ ประเมิน และจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยงทั้งหมดในไซต์งาน อาจจะใช้เทคนิค HAZOP, FMEA หรือ JSA เพื่อให้เห็นภาพรวมของความเสี่ยงในแต่ละขั้นตอนการทำงาน และที่สำคัญคือต้องมีการทบทวนและปรับปรุงการประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ เพราะสภาพแวดล้อมและวิธีการทำงานเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การวิเคราะห์ที่แม่นยำจะช่วยให้คุณจัดสรรทรัพยากรเพื่อป้องกันได้อย่างถูกจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด

2. แผนฉุกเฉินที่พร้อมใช้งานและฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ

แม้จะป้องกันดีแค่ไหน เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น การมีแผนฉุกเฉินที่ชัดเจนและได้รับการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น คุณต้องมั่นใจว่าทุกคนในทีมเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตัวเองเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น การซ้อมอพยพ การซ้อมดับเพลิง หรือการซ้อมช่วยเหลือผู้ประสบภัย จะช่วยให้เมื่อเกิดเหตุการณ์จริงขึ้น ทุกคนจะสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน การเตรียมพร้อมนี้คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด

สร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับพันธมิตรภายนอก

ในฐานะผู้นำด้านความปลอดภัย การทำงานคนเดียวไม่ใช่คำตอบค่ะ การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญภายนอก หน่วยงานราชการ หรือแม้แต่คู่ค้า สามารถช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูล เทคโนโลยี และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดได้ ฉันเองเคยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันความปลอดภัยแห่งชาติหลายครั้ง เมื่อต้องรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ หรือเมื่อต้องการพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยให้สูงขึ้น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนในวงการเดียวกันทำให้เราเห็นมุมมองที่แตกต่าง และได้รับแนวทางแก้ไขปัญหาที่อาจไม่เคยคิดถึงมาก่อน การเป็นผู้นำที่เปิดกว้างและพร้อมเรียนรู้จากผู้อื่น จะทำให้คุณไม่หยุดนิ่งและสามารถนำพาทีมไปสู่ความเป็นเลิศได้อย่างแท้จริง

1. เข้าร่วมและมีส่วนร่วมในสมาคมวิชาชีพและชุมชนความปลอดภัย

การเข้าร่วมสมาคมวิศวกรความปลอดภัย หรือกลุ่มไลน์/เฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการก่อสร้าง เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการเชื่อมต่อกับผู้คนในวงการ คุณจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ขอคำแนะนำ หรือแม้แต่แบ่งปันความรู้ของคุณเอง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชี่ยวชาญและอำนาจของคุณในฐานะผู้นำ การเข้าร่วมสัมมนา หรือเวิร์คช็อปต่างๆ ก็เป็นโอกาสอันดีในการอัปเดตความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อไซต์งานของคุณ ฉันรู้สึกเสมอว่าการได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมอาชีพ ทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา

2. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงานกำกับดูแลและคู่ค้า

การสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลเรื่องความปลอดภัย เช่น กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือสำนักงานความปลอดภัยในการทำงาน เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การเปิดใจรับฟังข้อเสนอแนะ ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ และขอคำปรึกษาจากพวกเขา จะช่วยให้คุณปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง และยังเป็นช่องทางในการได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อีกด้วย เช่นเดียวกับคู่ค้า การสร้างความสัมพันธ์ที่โปร่งใสและส่งเสริมให้พวกเขาร่วมรับผิดชอบด้านความปลอดภัยไปกับเรา จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากภายนอกได้ ซึ่งทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบสำคัญของการเป็นผู้นำที่รอบด้าน

บทสรุป

การเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยนั้นไม่ใช่เพียงแค่การถือใบอนุญาตหรือมีความรู้ทางเทคนิคที่แข็งแกร่งเท่านั้นค่ะ แต่เป็นการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ทักษะการสื่อสารที่เข้าถึงใจคน ความสามารถในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างทีมงานให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืน เหมือนกับการสร้างบ้านค่ะ ไม่ใช่แค่ฐานรากที่แข็งแรง แต่ต้องมีเสาหลักที่มั่นคง ผนังที่อบอุ่น และหลังคาที่ปกป้องทุกคนได้อย่างแท้จริง ฉันเชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นและหัวใจที่เปิดกว้าง เราทุกคนสามารถเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับวงการก่อสร้างได้อย่างแน่นอนค่ะ

ข้อมูลน่ารู้ที่เป็นประโยชน์

1. สำหรับวิศวกรความปลอดภัยในประเทศไทย การเข้าร่วมอบรมและสัมมนาที่จัดโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) หรือสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (สสปท.) จะช่วยให้คุณอัปเดตความรู้และกฎหมายใหม่ๆ ได้อย่างสม่ำเสมอค่ะ

2. การทำกิจกรรม “Toolbox Talk” หรือการพูดคุยความปลอดภัยหน้างานก่อนเริ่มปฏิบัติงานทุกวัน ถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากในการย้ำเตือนเรื่องความปลอดภัยและเปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็นหรือรายงานความเสี่ยงที่พบเจอได้อย่างใกล้ชิดค่ะ

3. พิจารณาศึกษาต่อหรืออบรมหลักสูตรเฉพาะทาง เช่น การใช้ซอฟต์แวร์ BIM สำหรับการจัดการความปลอดภัย หรือการวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงด้วย AI เพื่อเสริมสร้างความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีให้ก้าวทันโลกอยู่เสมอ

4. การสร้าง “Safety Champions” หรือ “แกนนำความปลอดภัย” ในแต่ละแผนกหรือหน่วยงาน จะช่วยกระจายความรับผิดชอบและสร้างความเป็นเจ้าของในเรื่องความปลอดภัยไปทั่วทั้งองค์กร ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหา

5. อย่าลืมให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตของพนักงานด้วยนะคะ เพราะความเครียดหรือปัญหาส่วนตัวก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ การมีช่องทางให้พนักงานได้ปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและปลอดภัยยิ่งขึ้นค่ะ

สรุปประเด็นสำคัญ

ผู้นำด้านความปลอดภัยแห่งอนาคตคือผู้ที่ก้าวข้ามบทบาทการเป็นเพียงผู้ตรวจสอบไปสู่การเป็นผู้สร้างวิสัยทัศน์ ผู้สื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ผู้ริเริ่มนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ และผู้ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานมีส่วนร่วมในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างแท้จริง การผสมผสานระหว่างประสบการณ์ตรง ความรู้เชิงเทคนิค และความเข้าใจในมิติของมนุษย์ คือหัวใจสำคัญที่จะนำพาทุกคนกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยในทุกๆ วัน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖

ถาม: หลังได้รับใบอนุญาตวิศวกรความปลอดภัยแล้ว บทบาทของเราเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างคะ แค่ความรู้ทางเทคนิคยังพอไหมในยุคนี้?

ตอบ: อู้หู… เหมือนกับเพิ่งไต่ขึ้นยอดเขาที่สูงชันมาหมาด ๆ เลยจริงไหมคะ ใบอนุญาตวิศวกรความปลอดภัยที่เราได้มานั้น มันคือความภาคภูมิใจที่เราสัมผัสได้จริง ๆ ค่ะ แต่พอได้มาแล้วเนี่ย จุดหมายต่อไปของเรามันไม่ใช่แค่การเป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ด้านเทคนิคอย่างเดียวอีกต่อไปแล้วนะคะ จะบอกว่าแค่ความรู้แน่นปึ้กก็พอแล้วเนี่ย ไม่ใช่เลยค่ะ เพราะยุคนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก ทั้ง BIM, IoT ที่เข้ามาช่วยเฝ้าระวังความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ ทำให้บทบาทของเรายิ่งทวีความสำคัญขึ้นไปอีกค่ะ จากแค่การเฝ้าระวัง เราต้อง ‘นำ’ การเปลี่ยนแปลงและสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในองค์กรให้ได้จริง ๆ ค่ะ ตัวฉันเองก็เคยรู้สึกแบบนั้นค่ะ หลังได้ใบมาใหม่ๆ ไฟแรงเต็มที่ คิดว่าความรู้แน่นปึ้กก็พอ แต่พอลงมือทำงานจริง ๆ ในไซต์ก่อสร้าง คุณจะเจอเรื่องที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎีในตำราเลยค่ะ

ถาม: การทำงานจริงในไซต์ก่อสร้างมีเรื่องท้าทายอะไรบ้างคะ นอกเหนือจากความรู้ในตำรา แล้วเทคโนโลยีอย่าง AI หรือโดรนเข้ามาช่วยยังไง?

ตอบ: โห! พอลงสนามจริงนี่คนละเรื่องกับในตำราเลยค่ะ สิ่งที่เราเจอคือการบริหารจัดการคนที่มีความหลากหลาย ทั้งคนไทย คนต่างชาติ หรือแม้แต่การรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นได้เสมอในไซต์งาน ที่บางทีตำราก็ไม่ได้สอนวิธีรับมือแบบเป๊ะ ๆ ยิ่งเรื่องการโน้มน้าวให้ทุกคนเห็นความสำคัญของความปลอดภัยเนี่ย บางครั้งมันก็ถูกมองข้ามไป เพราะความรีบเร่งในโปรเจกต์ใหญ่ ๆ ที่ต้องส่งงานให้ทันกำหนด ตอนแรกฉันก็ท้อนะคะ แต่พอเห็นผลลัพธ์ว่าถ้าเราไม่ใส่ใจอาจเกิดเรื่องใหญ่ได้ ก็เลยฮึดสู้ต่อค่ะ แต่โชคดีที่ปัจจุบันเทรนด์อย่างการใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง หรือโดรนเพื่อตรวจสอบพื้นที่สูงเริ่มเข้ามามีบทบาท ทำให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยขึ้นเยอะเลยค่ะ ไม่ต้องปีนป่ายไปในที่เสี่ยงเอง หรือนั่งวิเคราะห์ข้อมูลกองใหญ่ ๆ ด้วยมือ ซึ่งตรงนี้แหละค่ะที่ผู้นำอย่างเราต้องไม่หยุดนิ่ง ต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีพวกนี้ค่ะ

ถาม: ในฐานะผู้นำด้านความปลอดภัย เราควรมีวิสัยทัศน์และแนวทางในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมีส่วนร่วมให้ทุกคนในทีมได้อย่างไรคะ?

ตอบ: นี่แหละค่ะคือหัวใจของการเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่าแค่ใบอนุญาต! ในฐานะผู้นำ เราต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลค่ะ ไม่ใช่แค่คิดเรื่องความปลอดภัยในวันนี้ แต่ต้องมองไปข้างหน้าว่าอีก 5 ปี 10 ปี อุตสาหกรรมจะเปลี่ยนไปทางไหน ความเสี่ยงแบบไหนที่จะตามมา แล้วเราจะเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างไร การนำพาทีมให้ก้าวทันโลก การใช้เทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมืออย่างชาญฉลาดเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ และที่สำคัญที่สุดคือเราต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ต้องทำให้พวกเขารู้สึกว่าความปลอดภัยเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่แค่หน้าที่ของวิศวกรความปลอดภัย การสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ การรับฟังความคิดเห็น การแสดงให้เห็นว่าเราแคร์ความปลอดภัยของทุกคนจริง ๆ จะช่วยสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืนได้ค่ะ ลองนึกภาพดูสิคะ ถ้าทุกคนในทีมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งและมีส่วนร่วมกับการทำให้ไซต์งานปลอดภัย ผลที่ตามมาคือประสิทธิภาพงานที่ดีขึ้นและอุบัติเหตุลดลง นี่แหละค่ะคือเป้าหมายสูงสุดที่เราอยากไปให้ถึง!

📚 อ้างอิง